ประวัติ

 พันนา ฤทธิ์ไกร

พันนา ฤทธิ์ไกร หรือชื่อจริง กฤติยา ลาดพันนา (17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 ) นักแสดงและผู้กำกับคิวบู๊ เริ่มต้นชีวิตในกองถ่ายด้วยการเป็นเด็กเสิร์ฟน้ำ กับความรัก ความหลงใหลในภาพยนตร์แอ็คชั่น และเฝ้าใฝ่ฝันที่จะทำภาพยนตร์แอ็คชั่นในแบบฉบับของตัวเองให้สุด ๆ ไปเลย โดยเรียนรู้ ฝึกฝนทดลองผิดถูกด้วยตัวของตัวเอง ตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษที่ชื่อของ “พันนา ฤทธิไกร” โดดเด่นขึ้นมาในฐานะผู้กำกับ นักแสดง สตันท์แมนในภาพยนตร์แอ็คชั่นมานับไม่ถ้วน ด้วยตัวเลขกว่าร้อยสำหรับภาพยนตร์ที่มีชื่อของตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วม เนื้องานที่รับผิดชอบมีทั้งในส่วนงานออกแบบและกำกับคิวบู๊ให้กับทั้งภาพยนตร์, ภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ของไทย ไปจนถึงภาพยนตร์จากทั่วโลกที่เดินทางมาถ่ายทำในประเทศไทย ที่ได้เขาได้มีโอกาสร่วมงานด้วย ฯลฯ พันนาผ่านช่วงเวลาทองแห่งการสุกงอมของภาพยนตร์ไทย จนถึงยุคตกต่ำมาหลายยุคหลายสมัย ผ่านการร่วมงานกับนักแสดงชายแอ็คชั่นไทยมานับไม่ถ้วน ตั้งแต่พระเอกตลอดกาลอย่าง สรพงศ์ ชาตรี ตราบจนมาถึงปัจจุบันนี้
ผลงานที่ผ่านมา
- ผู้ออกแบบและกำกับฉากแอ็คชั่น ภาพยนตร์ ต้มยำกุ้ง,เกิดมาลุย,องค์บาก



   

Stuntman คือ ผู้แสดงแทนในฉากอันตราย ต้องฝึกวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวมาอย่างชำนาญ และมีวินัยในตนเอง และเป็นการออกแบบฉากคิวบู๊ที่สมจริง ที่มีทีมงานและวิธีการทำงานอย่างมีระบบ และมีความเป็นมืออาชีพสูง



ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว



ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว คือ ศาสตร์แขนงหนึ่งที่เน้นการเรียนและฝึกฝนด้านการต่อสู้และการป้องกันตัว ในปัจจุบันได้มีการศึกษากันอย่างแพร่หลาย ทั้งในเชิงด้านการกีฬา เพื่อฝึกฝนร่างกายให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง หรือแม้กระทั่งฝึกฝนจิตใจ ภาพยนตร์หลายหลายเรื่องได้มีการนำศิลปะป้องกันตัวไปใช้ เช่นองค์บาก ที่นำมวยไทยมาใช้เป็นโครงเรื่องหลัก หรือภาพยนตร์จากฮอลลีวูด โดยมีนักแสดงเช่น เฉินหลง บรูซ ลี เจ็ท ลี
       ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของไทย 
การสงครามในสมัยก่อนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของศิลปะการต่อสู้ของประเทศไทย บรรพบุรูษไทยแต่โบราณจำเป็นต้องปกป้องบ้านเมืองจากชาติอื่นๆที่มารุกราน ศิลปะการต่อสู้ของไทยที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย

ความหมายของคำว่า มวย
  1. อาจมีที่มาจากลักษณะการ ม้วนเชือกหรือผ้า เพื่อใช้หุ้มฝ่ามือและท่อนแขน เพื่อใช้ป้องกันอันตรายขณะต่อสู้ หรืออาจเพิ่มอันตรายในการ ชก กระแทกฟาดโดยการผสม กับ กาวแป้ง และ ผงทราย คล้ายลักษณะของ มวยผม ของ ผู้หญิงที่นิยมไว้ผมยาว (เกล้ามวย) ได้แก่ หญิงไทย/ลาวโซ่ง/หญิงล้านนาในสมัยโบราณ หรือนักมวยจีน (มุ่นผม) ซึ่งนิยมถักเป็นเปีย แล้วม้วนพันรอบคอของตนซึ่งสามารถใช้ในการต่อสู้ในบางครั้ง
  2. หรือ มาจากคำภาษาบาลี ว่า "มัลละ" หมายถึง การปล้ำรัด มวยปล้ำของชาวอินเดีย
มีการต่อสู้ในลักษณะเดียวกับ มวย ของ ชาวไทย มุสลิมในท้องถิ่นทาง ภาคใต้ ตลอดจนแหลม มลายู เรียกว่า ซีละ หรือ ปัญจสีลัต มีผู้บัญญัติศัพท์ว่า "มวยไทยพาหุยุทธ์" โดยเปรียบว่า เป็นการต่อสู้แบบรวมเอา      ศิลปะการต่อสู้ (Martial Art) ทุกแขนง โดยใช้อวัยวะทุกส่วนร่วมด้วยได้แก่ การใช้ ศีรษะ คาง เพื่อชน กระแทก โขก ยี ใช้ท่อนแขน ฝ่ามือ และกำปั้น จับ ล็อก บล็อก บัง เหวี่ยง ฟัด ฟาด ปิด ปัด ป้อง ฟาด ผลัก ยัน ดัน ทุบ ชก ไล่แขน ศอก เฉือน ถอง กระทุ้ง พุ่ง เสย งัด ทั้งทำลายจังหวะเมื่อเสียเปรียบและหาโอกาศเข้ากระทำเมื่อได้เปรียบ
ส่วนขา แข้ง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ปลายเท้า ใช้ในการบัง ถีบ เตะ แตะ เกี่ยว ตวัด ฉัด ช้อน ปัด กวาด ฟาด กระแทก ทำให้บอบช้ำและเสียหลักและใช้ลำตัวในการการทุ่มทับจับหัก (มีคณะนักมวยในอดีตคือ ค่าย ส.ยกฟัด ที่นิยมใช้กันมาก) การประกอบรวมแม่แบบชุดต่อสู้รวมเรียกว่า แม่ไม้ และลูกไม้ ตามเชิงมวย หรือกลมวย



   ประวัติศาสตร์มวยไทย
 ประวัติศาสตร์อันยาวนานของมวยไทยเริ่มมีและใช้กันในการสงครามในสมัยก่อน ในปัจจุบันมีการดัดแปลงมวยไทยมาใช้ในกองทัพโดยเรียกว่า "เลิศฤทธิ์" ซึ่งแตกต่างจากมวยไทยในปัจจุบันที่ใช้เป็นการกีฬา โดยมีการใช้นวมขึ้นเพื่อป้องกันการอันตรายที่เกิดขึ้น มวยไทยยังคงได้ชื่อว่า ศาสตร์การโจมตีทั้งแปด ซึ่งรวม สองมือ สองเท้า สองศอก และสองเข่า (บางตำราอาจเป็น นวอาวุธ ซึ่งรวมการใช้ศีรษะโจมตี หรือ ทศอาวุธ ซึ่งรวมการใช้บั้นท้ายกระแทกโจมตีด้วย)

มวยไทยสืบทอดมาจากมวยโบราณ ซึ่งแบ่งออกเป็นแต่ละสายตามท้องที่นั้น ๆ โดยมีสายสำคัญหลัก ๆ เช่น มวยท่าเสา (ภาคเหนือ) มวยโคราช (ภาคอีสาน) มวยไชยา (ภาคใต้) มวยลพบุรีและมวยพระนคร (ภาคกลาง) มีคำกล่าวไว้ว่า "หมัดหนักโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา ไวกว่าท่าเสา" มวยไทย


มวยไทย คือศิลปะการต่อสู้จากประเทศไทย ที่ใช้หมัด ศอก แขนท่อนล่าง เท้า แข้ง เข่า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ศีรษะ และลำตัวในการต่อสู้ ศิลปะการต่อสู้ลักษณะนี้ สามารพบเห็นได้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ยิมนาสติก
ยิมนาสติก (อังกฤษ: Gymnastics) เป็นกีฬาที่เกี่ยวกับการแสดง ความแข็งแรง ความสวยงาม ความคล่องแคล่ว และการทำงานประสานกันของร่างกาย เป็นกีฬาสากลประเภทหนึ่งที่จัดเข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มมาเมื่อใด แต่มาปรากฏก่อนคริสต์ศักราช 2,600 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาวจีนได้มีการฝึกฝนท่ากายบริหารและคิดประดิษฐ์ท่าบริหารกายขึ้น แต่การเริ่มต้นยิมนาสติกอย่างแท้จริงน่าจะเริ่มสมัยเริ่มต้นของประวัติศาสตร์แห่งชาวกรีกและโรมัน โดยเฉพาะกรีกโบราณ คำว่ายิมนาสติก เป็นภาษากรีก มาจากคำว่า Gymnos แปลว่า Nude หรือแปลว่า Naked Art มีความหมายว่า "ศิลปะแห่งการเปลือยเปล่า"